ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานหลายอสงไขยกัปป์ ในยุคสมัยผู้คนประพฤติอยู่ในศีลธรรม ผู้เป็นใหญ่ในเมืองฟ้าก็คือพญาแแถน หรือแถนหลวง หรือหลวงฟ้าคื่น ซึ่งเป็นผผู้ปกครองดูแลทั้งเมืองฟ้าและเมืองมนุษย์ ให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข
ในทุกๆปี พญาแถนจะเปิดประตู7ประตู เพื่อให้พญานาคขึ้นไปเล่นน้ำในสระหลวงบนฟ้า เมื่อพญานาคเล่นน้ำบ้างก้พ้นน้ำเล่น บ้างก็ฟาดหางตีน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทำให้น้ำในสระหลวงแตกกระจายก่อให้เกิดเป็นละอองน้ำฝนตกลงมายังโลกมนุษย์
พญาแถนดูแลมนุษย์ทั้งหลายให้อยู่เย็ยเป็นสุขผู้ใดต้องการสิ่งใดก็ตั้งเครื่องบูชาเซ่นไหว้ อ้อนวอนขอ ถ้าสิ่งที่ปรารถนาถูกทำนองคลองธรรม พญาแถนก็จะบันดาลสิ่งนั้นให้ตามประสงค์
ครั้งนั้นบนโลกมนุษย์มเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อเมือง "ชมพู" มีพญาชมพูเป็นเจ้าเมือง และมีนางสีดาเป็นพระมเหสีคู่บารมี ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้ดูดีมีสุขกันถ้วนหน้า
ต่อมานางสีดาตั้งครรภ์และให้ประสูติพระโอรส ซึ่งมีรูปกายอัปลักษณ์เหมือนด่งคันคาก(คางคก) การให้กำเนิดพระโอรสที่มีรูปกายดังกล่าวยังความเสียใจมาให้เจ้าเมืองและพระมเหสียิ่งนัก แต่เมื่อโหรหลวงทำนายว่า พระโอรสผู้นี้ถึงแม้นจะมีรูปกายเป็นคันคาก แต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีบุญบารมีมาเกิด ในภายภาคหน้าจะช่วยเหลือหมู่มนุษย์ ปัดเป่าโพยภัคให้คนทั้งหลายอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ขอให้เลี้ยงดูอย่างมนุษย์ธรรมดาเถิด ชาวเมืองจึงเรียกพระนามว่า ท้าวคันคาก หรือเจ้าชายคันคาก เจ้าเมืองมอบความรักและเอาใจใส่ท้าวคันคากอย่างดีจึงสามารถดำเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และได้รับความเคารพนับถือจากชาวเมืองอย่างสูง
เมื่อถึงวัยหนุ่ม กรรมที่เคยมีของท้าวคันคากหมดไป หนังคันคากที่ห่อหุ้ม กายลอกหลุด กายเป็นเจ้าชายผิวพรรณเกลี้ยงเกลาผุดผ่องดั่งทองคำ แม้นจะลอกคราบออกแล้ว แต่เกราะป้องกนตัวเองแบบคันคากยังคงอยู่ ทำให้สัตว์มีพิษทั้งหลายไม่สามารถทำอันตรายท้าวคันคากได้ เจ้าชายหนุ่มจึงเป็นที่ยำเกรงของสัตว์มีพิษทั้งหลาย
เมื่อกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ท้าวคันคากก็ได้ศึกษาศิลปวิทยาการต่างๆทั้งกลยุทธ์ในการสู้รบ รวมทั้งฝึกัด การใช้อาวุธหลากหลายชนิดในการสู้รบ มีความสามารถเก่งกาจกว่าคนทั้งหลาย ทั้งยังประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมจึงเป็นที่รักใคร่ของไพร่ฟ้าประชาชน จนพญาชมพูไว้วางใจมอบราชสมบัติใช้ท้าวคันคากปกครองบ้านเมือง ได้รับพระนามว่า,พญาคันคาก
พญาคันคากเป็นพระราชาปกครองเมืองชมพู บรรดาบ้านเมืองพร้อมใจสวาภักดิ์เป็นเมืองขึ้นถ้วนทุกหัวระแหง พระองค์ปกครองบ้านเมืองโดยธรรม ทำให้ชาวเมืองทั้งหลายหันมาเคารพบูชาพญคักคากจนลืมบูชาพญาแถน ลืมเซ่นไหว้พญาแถนผู้เป็นใหญ่ในเมืองฟ้าเหมือนก่อน
ครั้นเมื่อผู้คน รวมทั้งสรพสัตว์น้อยใหญ่หันไปพรรคดีต่อพญาคันคากหมดสิ้น พญาแถนเกิดคามน้อยใจจึงตัดสินใจลงโทษชาวเมืองมนุษย์โดยการไม่สงน้ำฝนลงมา บ้านเมืองแว้นแค้นใหญ่น้อยเกิดความแห้งแล้งกันดานไปทั่วทุกหย่อมหญ้าพญาคันคาเห็นความทุกข์ยากของใคร่ฟ้าประชาชน ก็ทรงร้อนพระทัย จึงมุดลงไปในเมืองบาดาลเพื่อถามไถ่สาเหตุของภัยแล้ง พญานาคจอมบาดาล จึงบอกเหตุว่า"เพราะผีฟ้าพญาแถนปิดประตู(แปว)ไม่ให้นาคทั้งหลายไปเล่นน้ำในสระบนเมืองฟ้าสวรรค์ จึงไม่มีครื่นน้ำแตกกระจายกระเด็นกระดอนเปํ็นฝอยฝนลงมายังโลกมนุษย์เมืองชมพูและเมืองบริวารใหญ่น้อยจึงแห้งแล้งกันดานเหตุก็เพราะพญาแถนฟ้าโกรธเคืองที่ผู้คนไม่เซ่นไหว้ไม่บูชาพญาแถนมัวแต่บังคมบูชาพญาคันคาก"
เมื่อพญาคันคากรู้ความเช่นนี้ก็ขัดเคืองพญาแถน จึงสั่งให้พญานาคและบริวารทำถนนจากเมืองชมพูขึ้นไปเมืองแถนแดนสวรรค์ พญ่คันคากได้ให้พญานกเค้าแมวไปเจรจากับพญาแถน พญานกเค้าแมวไม่สำเร็จจึงนำความกลับมารายงานให้พญาคันคากทราบ
พญาคันคากจึงประกาศสงครามกับพญาแถน เรียกชุมนุมสรรพสัตว์ทั้งหลาย เกณฑ์ไพร่พลตั้งแต่สัตว์มีพิษเล็กน้อย เช่น มด แมงมอด(แมงป่อง) แมงเงา(แมงป่องช้าง) ตะขาบ ไปจนถึงสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น พญานาค
พญาคันคากสั่งพวกปลวกขุดเอาดินจากทุกเขตแคว้นแดนมนุษย์มากองรวมกันเป็นภูเขาสูง บรรดาปลวกต่างระดมขนดินมาถมพอกภูเขาให้สูงเทียมฟ้าส่วนพญานาคพร้อมด้วยนาคบริวารพากันแผ่พังพานให้เป็นทางทอดยาวผ่านเทือกเขาสูงไปถึงเมื่องแถน
ฝูงพญานาค ครุฑ มาพร้อมกัน อีกทั้งฝูงต่อ ฝูงแตน แมงงอด แมงเงา ตะขาบ งู ผึ้ง มอด มด ก็มาพร้อมเพียงกัน นอกจากนี้สรรพสัตว์ เช่น เสือ สิง กระทิง แรด ช้าง ก็มาร่วมทัพกับพญาคันคากด้วย
เมื่อสรรพวัตว์มาพร้อมกัน พญาคันคากจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนไปเมืองแถน ตามทางที่ปลวก และ พญานาคสร้างไว้
พญาคันคากวางกลยุทธ์ให้มดเป็นทัพหน้า เป็นหน่วยลับ ยกพลมอดไป กัดเจาะกินด้ามดาบ ด้ามหอก และอาวุธทั้งหลานของทั้งหลายของพญาแถน จากนั้น มอบหมายให้มด เเมงงอด แมงเงา ตะขาบ ยกพลแอบเข้าไป หลบลื้อ อยู่ตามเสื้อผ้าของทหาร และ ชุดออกรบ ของพญาแถน
เมื่อพญาคันคากเดินทัพมาถึงเมืองฟ้า ก็เข้าไปเจรจากับพญาแถน ขอให้พญาแถน ประพฤติตนให้ถูกต้องตามครรลองครองธรรม อย่างที่เคยเป็นมาแต่เก่าก่อน แต่พญาแถนไม่ยอม เมื่อการเจรจาไม่บรรลุผล พญาคันคากก็ส่งสัญญาณ ให้กองทัพสัตว์มีพิษทั้งหลายลงมือ ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้
ผึ้ง ต่อ แตน เป็นหน่วยรบเร็วพากันบินออกจากที่ซ่อนไปกัดต่อยทหารของพญาแถน ทหารของพญาแถนก็ออกมาต่อสู้อย่างกล้าหาญเช่นกัน พญานาคกับพญาแถนต่อสู้กันดังสนั่นหวั่นไหวดังเสียงฟ้าร้องการสู้รบยืดเยื้อกินเวลาถึง 7 ปี 7 เดือน
พญาคันคากเห็นว่าการรบยืดเยื้อมานานแล้วจึงต้องเผด็จศึกให้จงได้เลยท้าพญาแถนออกชนช้างตัวต่อตัว ให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปเลย พญาคันคากกับพญาแถนรบกันตัวต่อตัวเป็นเวลา 7 วัน ไม่มีใครชนะใคร ไม่มีใครเพลี้ยงพล้ำให้ใคร ในระหว่างรบนั้นพญาคันคากถูกพญาแถนใช้ตะพดหล่อตะกั่วตีฟาดตามตัวจนปูดบวม ถึงแม้จะไม่บาดเจ็บนัก แต่ก็ทำให้ลุกหลานของพญาคันคากในยุคต่อๆมามีตะปุ่มตะป่ำตามเนื้อตัวตามที่เห็นจนถึงทุกวันนี้
จากนั้นพญาคันคากก็วางแผนให้พญานาคผู้มีฤทธิ์ไปหลบอยู่ที่หางช้างทรงที่พระคันคากประทับอยู่ เพือลอบทำร้ายพญาแถน ขณะที่สู้รบกันนั้นช้างทรงของพญาคันคากได้ตวัดหางอย่างแรงจนพญานาคที่อยู่หางช้างทรงลอยกระเด็นไปพันคอพญาแถนโดยบังเอิญ ทำให้พญาแถนตกจากหลังช้าง พญานาคจึงเลื้อยรัดตัวพญาแถนไว้แน่นจนไม่สามารถดิ้นและรบกับพญาคันคากได้ พญาคันคากจึงทุบตีพญาแถนแก้แค้น จนพญาแถนทนความเจ็บปวดไม่ไหว ในที่สุดก็ยอมแพ้ต่อพญาคันคาก การสู้รบครั้งนั้นใช้เวลาทั้งหมด 7 ปี 7 เดือน กับอีก 7วัน จึงยุติ
หลังจากพญาแถนยอมแพ้ต่อพญาคันคาก พญาแถนก็สำนึกผิด คิดไปถือว่า ถ้าลดความโกรธความน้อยใจที่มต่อมนุษย์ ยอมให้มีฝนตกตามฤดูกาล การสูญเสียอันใหญ่ลวงจากสงครามก็จะไม่เกิดขึ้น ด้วยความสำนึกผิดเช่นนี้ พญาแถนจึงขอเป็นเมืองส่วย แต่งน้ำฟ้าห่าฝนลงเมืองมนุษย์ทุกๆปี เเล้วร้องเชิญพญาคันคากเข้าเมืองแถน
ในคุ้มหลวงเมืองแถน บรรดาบริวารพญาแถนทั้งลูกเมีย และนางท้าวร้องขอต่อพญาคันคากที่นั่งเมืองแถนว่า อย่าพิฆาดฟาดฟันชาวแถนเลย จะยอมเป็นค่ารับใช้พญาคันคากไปชั่วนิรันดร์
พญาคันคากบอกว่า ที่ไม่ได้นำพามนุษย์มารบกับพญาแถนก็เพราะไม่อย่ากให้มนุษย์มีบาปกับพยาแถน มนุษย์ยังต้องพึ่งพาบุญบารมีพญาแถนไปอีกนานแสนนาน พญาคันคากโพธิสัตว์ยังบอกกับพญาแถนอีกว่า...
เราสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องทำสงครามห้ำหั่นกัน หากเริ่มต้นหันหน้ามาพูดคุย เพื่อรับฟังกันและกันอีกครั้งหนึ่งด้วยการพูดคุยสนทนากับแบบเรียบง่าย ซื่อตรง และเคารพในศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน
การหันหน้ามาพูดคุยจะนำพาเราไปสุ่อนาคตที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวังเราต้องการเพียงจินตนาการ ความกล้าหาญ และศรัทธาต่อความดีงาม ซึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายมีพร้อมอยู่แล้ว
ทั้งมนุษย์และแถนต่างมีจุดอ่อนและศักยภาพอยู่ในตัว
จุดอ่อน คือมีนิสัยที่คอยบ่อนทำลายความสัมพันธ์ ความสุขและความสำเร็จ เมื่อเราสามารถชี้ตัวบ่อนทำลายและทำให้มันอ่อนกำลังได้ ก็จะช่วยให้เราเข้าถึงภูมิปัญญาอันล้ำลึก เกิดการหยั่งรู้ เกิดพลังทางความคิดที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เปี่ยมศักยภาพ ขอจงเชื่อมันในความดีงาม เมื่อเรามีศัทธาและเชื่อมั่นเราจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเมืองนรกและโลกมนุษย์ให้เป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ได้อย่างแน่นอน ในทางกลับกันเราสามารถเปลี่ยนทั้งเมืองฟ้าเมืองสวรรค์และเมืองมนุษย์ให้เป็นเมืองนรกก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิตเราเป็นผู้กำหนด
ในตอนท้าย พญาคันคากโพธิสัตว์บอกกับพญาแถนว่า ให้ทำหน้าที่ของตน ปล่อยน้ำฟ้าน้ำฝนให้ตกต้องตามฤดู ไม่อย่างงั้นจะขึ้นมาลงโทษอีกให้สาสมและสั่งการให้พญานาคจัดเวรกันขึ้นไปเล่นน้ำทุกปีอย่าได้ขาด...
พญาแถนถามว่า จะรู่ได้อย่างไรว่าเมืองมนุษย์ต้องการน้ำเวลาไหน ? เมื่อใด ?
พญาคันคากตอบว่า จะส่งสัญญาณโดยใช้พญานาคขี่บั้งไฟขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นบั้งไฟจุดขึ้นฟ้า ที่บั้งไฟมีหัวพญานาคพุ่งขึ้นมา ก็เปิดประตูทางเทียวขึ้นฟ้าหรือแปวของนาค เมื่อชาวมนุษย์ได้น้ำเพียงพอแล้วก็จะพร้อมใจกันทำโหวดแกว่งขึ้นฟ้า ส่งเสียงสัญญาณให้พญาแถนได้รู้ จากนี้ไปขอให้พยาแถนปิดประตูทางเที่ยวขึ้นฟ้าของพญานาคไว้ได้เลย
นับแต่นั้นเป็นต้นมาช่วงประมาณเดือนหกของทุกปีวึ่งเป็นฤดูกาลทำนาชาวเมืองชมพูก็จะทำบั้งไฟขึ้นฟ้า เพื่อให้พญาแถนปิดประตูทางเทียวให้พญานาคขึ้นไปเล่นน้ำทำให้ฝนตกลงมา จึงเป็นความเชื่อต่อมาในการทำบั้งไฟเป็นบั้งไฟหัวนาค ซึ่งหมายถึงการส่งพญานาคขึ้นไปเล่นน้ำบนฟ้านั่งเอง
เมื่องถึงเดือนสิบสอง หลังออกพรรษาแล้ว ข้าวกล้าได้น้ำเพียงพอแล้วชาวเมืองชมพูก็พร้อมใจกันทำโหวด (โหวดหางยาว) แกว่งโหวดขึ้นฟ้าเพื่อให้พญาแถนปิดประตูทางเทียวขึ้นฟ้าของพญานาคไว้ จนเป็นประเพณีการเล่นโหวดในหน้าหนาวหรือหน้าเกี่ยวข้าว (ปัจจุบันโหวดหางสำหรับแกว่ง อาจไม่เห็นเล่นกันแล้ว เหลือแต่โหวดเป่าซึ่งเป็นเครื่องดนตรี)
ฝ่ายพญาแถน เมื่อตระหนักรู้แล้วก็ขอโทษพญาคันคากและน้อมรับคำสั่งสอนทุกประการ แล้วสั่งให้ไพร่พลลูกเมียเตรียมสำรับกับข้าวเลี้ยวดูกองทัพพญาคันคากอย่างยิ่งใหญ่
พญาคันคากไม่รู้จักขาว ไม่เคยกินมาก่อน เมื่อได้ลิ้มรสจึงถามว่ามันคืออะไร ทำไมหอมกรุ่นรสชาติอร่อยล้ำมากมายเช่นนี้
พญาแถนบอกว่า ที่เมืองฟ้าเมืองแถนมีการปลูกข้าวไว้กิน แล้วอธิบายคุณประโยชน์ของข้าวยืดยาว
พญาคันคากติดใจในรสชาติ จึงขอเมล็ดพันธุ์ข้าวลงไปปลูในเมืองมนุษย์โดยขอให้รวงข้าวยาวแค่วา เมล็ดโตเท่าลูกมะพร้าว และต้นข้าวเท่าต้นตาลก็พอ พณาแถนรับคำแล้วบอกเพิ่มเติมว่า ข้าวพวกนี้เมื่อโตเต็มที่เมล็ดจะหล่นจากรวงแล้วบินไปเข้ายุ้งฉางข้าวเอง ขอให้มนุษย์ทำยุ้งฉางคอยไว้เท่านั้น พญาคันคากพอใจและขอบคุณพญาแถนอย่างยิ่ง เมื่องานเลี้ยงเสร็จสิ้นแล้วจึงนำพาไพร่พลลาพญาแถนกลับสู่แดนเมืองชมพูตามเส้นทางเดิมที่ปลวกทำขึ้นไว้
หลังจากพญาคันคากสิ้นอายุขัย เวลาผั่นผ่านนานกาลผู้คนในเมืองชมพูต่างประมาทขาดสำรวม จนเรรวนเกียจคร้าน เหตุเพราะความสะดวกสบายที่พญาแถนบันดาลให้ ผู้คนลืมทำยุ้งฉางข้าวให้พร้อมเสร็จตามกำหนดเวลา เมื่อเมล็ดข้าวพันธุ์สุกหล่นจากรวงเลยไม่มีที่ไป หล่นเรี่ยราดตามนาไร่ เมื่อไม่มีที่อยู่ก็บินหาที่พักในเรือนนอนของผู้คน มนุษย์บ้างก็ใช้พร้า บ้างก็ใช้มีดใช้ขวานโขกสับเมล็ดข้าวจนปี้ป่นแตกตัดกระจัดกระจายเหลือเมล็ดเท่ากรวดทรายกระจิริด เหมือเมล็ดข้าวในปัจจุบันนับแต่นั้นมาเมืองมนุษย์จึงไม่มีข้าวเมล็ดโตเท่าลูกมะพร้าวและเมล็ดข้าวไม่สามารถบินไปเข้ายุ้งฉางเองได้
ขณะเดียวกันหนทางที่ปลวกทำไว้ให้พญาคันคากขึ้นไปหาแถนแต่ก่อนมีเครือเขากาดเกี่ยวพันแน่นหนาให้ผู้คนสัญจรไปหาพญาแถนก็ยังคงใช้ได้ดีแต่ว่ามนุษย์มุ่งเอาแต่ความสะดวกสบาย มีปัญหานิดหน่อยก็ขอให้พญาแถนช่วยไม่คิดแก้ปัญหาต่างๆด้วยตนเอง
พญาแถนพิจารณาว่า มนุษย์ไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ซื่อตรง ลุ่มหลงแต่ความสบาย เบียดเบียนกันเองไม่เกรงกลัวใคร เหมือนปลาใหญ่กินปลาเล็ก เป็นอย่างนี้ทุกบริเวร ผีฟ้าพญาแถนจึงยิงศรร่อนธนูสู่เครือเขากาดหนทางที่ปลวกและพญานาคสร้างไว้ก็ขาดสะบั้นถล่มลง กลายเป็นภูดอยน้อยใหญ่ในชมพูทวีปตั้งแต่นั้นมา
ผีฟ้าพญาแถนแดนสววค์ลงโทษทัณฑ์มนุษย์ที่มักเกียจคร้าน ทำให้ไม่มีพันธุ์ข้าวทิพย์ให้มนุษย์เหมือนแต่ก่อน มนุษย์จึงต้องพักร้างถางพงในดงดอน แล้วถางไถปลูกข้าวกินเองอย่างลำบากตั้งแต่นั้นมา
หมายเหตุ คันคากเป็นคำของคนตระกูลไท-ลาวสองฝั่งโขง (ไทยอีสานและ สปป.ลาว) ตรงกับคำไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลางวา่ คางคก มีคำบอกเล่าเก่าแก่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จารบนใบลานเป็นอักษรไทยน้อย บอกเล่าเรื่องพญาคันคากรบกับพญาแถน หรือตำนานบุญบั้งไฟเพื่อขอน้ำฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลนี้ วึ่งอาจมีความพิสดาร สนุกสนาน แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นแต่สาระสำคัญมักจะตรงกัน
ขบวนแห่บั้งไฟ ประเพณีบุญบั้งไฟ |
ขบวนแห่งานบุญบั้งไฟ ในทุกๆที่จะทำหัวบั้งไฟเป็นสัญลักษณ์รูป พญานาค |
![]() |
ขบวนแห่บั้งไฟ ประเพณีบุญบั้งไฟ |
![]() |
จุดบั้งไฟขึ้นฟ้า ประเพณีบุญบั้งไฟ |